โรนัลดิญโญ่ ตำนานซุปตาร์เปื้อนรอยยิ้ม
โรนัลดิญโญ่ ตำนานซุปตาร์เปื้อนรอยยิ้ม เขาเกิดเมื่อ 21 มีนาคม 1980 ที่เมือง Porto Alegre ทางตอนใต้ของบราซิล ครอบครัวของเขา มีสภาพความเป็นอยู่ ที่ไม่สู้ดีนัก และ ต้องเติบโต รวมถึงเอาตัวรอด ในสภาพแวดล้อม รายล้อมไปด้วย อาชญากรรม และ การแบ่งชนชั้น ต่อมา ภายหลังจากคุณพ่อเสียชีวิต ทำให้แม่ของเขา ต้องรับภาระทำงานอย่างหนัก เพื่อดูแลลูกๆอีก 4 คน โรนัลดิญโญ่ ตระหนักดีแล้วว่า ฟุตบอลคือสิ่งที่เขารัก และ ทำมันได้ดี เขาจะใช้มัน เลี้ยงดูทุกคนเอง และ เขาก็สามารถพาตัวเอง ไปเซ็นสัญญา นักเตะเยาวชนของ Gremio เมืองบ้านเกิด จนได้
ไฮไลท์สำคัญของเขาในช่วงเริ่มต้น คือ กระหน่ำคนเดียว 23ลูก พาทีมเอาชนะคู่แข่งไป 23-0 ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีโดดเด่นกว่าเขา แล้วในขณะนั้น

ไอหนุ่ม โรนัลดิญโญ่ สร้างความฮือฮา ได้ทันทีภายหลังจาก ถูกเรียกติดทีมชาติชุดอายุต่ำกว่า 17 ปี ไปแข่งขันฟุตบอลโลก และ พาทีมคว้าแชมป์ได้ในที่สุด

จากฟอร์มอันร้อนแรง ในทีมชาติชุด U17 ทำให้โดนเรียก ขึ้นมาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ ของเกรมิโอทันที และ จัดการตอบแทนความไว้ใจ ของผู้จัดการทีมด้วยการ ทำไป 23 ประตู จาก 48นัด ส่งผลให้ตอนนั้น เขาเนื้อหอมอย่างมาก โดยมีทั้ง Arsenal และ Manchester United ให้ความสนใจ

สุดท้าย เขาเลือกที่จะไปค้าแข้งในยุโรป ที่ฝรั่งเศสกับทีม Paris Saint-Germain โดยที่ ลีกเอิง นั้น เปรียบเหมือนฟอร์หญ้า ให้เขาได้ร่ายรำเท่านั้น เพราะเขาแจ้งเกิดเต็มที่ โชว์ลวดลายเต็มกำลัง เลยทีเดียว

เขาโดนเรียกไปติดทีมชาติ ชุดไปแข่งฟุตบอลโลก และ คว้าแชมป์ได้ในที่สุด แต่ทว่า สิ่งที่ทำให้เป็นที่พูดถึง นอกจากลีลา บนสนามแล้วก็ คือลูกฟรีคิกใบไม้ร่วงที่ซัดใส่ เดวิด ซีแมน นั้นเอง

ในปี 2003 เป็น บาร์เซโลน่า ที่เอาชนะ ใจโรนัลดิญโญ่คว้าตัวเขา ไปร่วมทีมด้วย ค่าตัว 25 ล้านปอนด์ ตัดหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ต้องผิดหวัง ในการคว้าตัวเขา มาร่วมทีมอีกแล้ว

ที่ คัมป์นู เป็นจุดสูงสุดของชีวิตค้าแข้ง ของเจ้าเหยินน้อยเลยก็ว่าได้ 2 แชมป์ลาลีกา 1 แชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีคส์ กับรางวัลส่วนตัว ‘บัลลงดอร์’ หรือรางวัลลูกโลกทองคำ ที่นักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก เท่านั้น จะได้ไปครอบครอง

เท่านั้นยังไม่พอ เขายังเป็นนักฟุตบอล ที่ถูกแฟนบอลทีมอริอย่าง Real Madrid ลุกขึ้นปรบมือ ‘สแตนดิ้ง โอเวชั่น’ ให้ในเกม ‘เอล กลาซิโก้’ เพราะเล่นได้อย่างประทับใจ แม้ว่าเกมนั้นเจ้าบ้านจะพ่ายไปถึง 3-0 ด้วยกัน

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด นอกเหนือจากถ้วยรางวัลก็คือ เขาถือเป็นคนสำคัญ ที่ช่วยกันผลักดัน และ ส่งเสริม ลิโอเนล เมสซี่ ให้แจ้งเกิด และ พร้อมสำหรับทีมชุดใหญ่ ในขณะ ที่เวลาของเขาเริ่ม นับถอยหลังแล้ว

ด้วยความร้อนแรง ของเมสซี่ที่กำลัง จะก้าวมาเป็นเบอร์หนึ่งของโลก สวนทางกับ เขาที่มี อายุมากขึ้น เริ่มโรยราลง ในที่สุด เขาอำลาบาร์ซ่าไป อยู่กับ ทีมปีศาจแดงดำ AC Milan ในปี 2008 และ ช่วยมิลานคว้าแชมป์ในฤดูกาล 2010-2011 ก่อนที่ จะย้ายกลับบ้านเกิดที่บราซิล และ แขวนสตั๊ดตอนอายุ 37ปี


ขอบคุณข้อมูลจาก :: Catdumb
ขอบคุณภาพสวยๆจาก :: Google
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม :: ดูบอลรวย